
1. คุณรู้จักของที่คุณจะขายดีแค่ไหน
การที่คุณรู้จักสินค้าที่คุณจะขายเป็นอย่างดี เคยใช้มันมาก่อน ช่ำชองในการใช้ ย่อมเป็นต้นทุนมาก ๆ ในการขายเพราะการที่ตัวคุณเองเคยเป็นลูกค้ามาแล้วนั้น จะทำให้คุณเข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดี รู้กว้าง รู้ลึก เกี่ยวกับตัวสินค้า ทำให้คุณสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าคุณไม่สามารถขายสินค้าที่คุณไม่รู้จัก เพียงแต่คุณต้องใช้เวลาศึกษาเรียนรู้มันมากกว่าปกติเท่านั้นเอง
2. สินค้าตัวนั้นมีคนอยากได้จริง ๆ หรือปล่าว
อย่าได้เอาความชอบของตัวเองมาตัดสินใครเด็ดขาด เพราะทุกคนไม่ได้อินเหมือนกับเรา เราควรเช็คก่อนว่าสินค้าที่เราจะขายนั้นมีความต้องการซื้อ(อุปสงค์)มากแค่ไหน และมากพอที่จะคุ้มค่าให้เรานำมาขาย หรือผลิตมาขายหรือไม่ เพราะถ้าเป็นสินค้าที่มีความต้องการน้อย คุณอาจขาดทุนกับการนำสินค้ามาสต็อก จนสุดท้ายเงินจมทุน ไม่มีใครมาซื้อ ในตอนนี้มีหลายเครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยคุณหาข้อมูลได้ว่า มีอุปสงค์กับสินค้าหรือบริการแบบไหนได้เกิดขึ้นบ้าง เช่น Google Trend, Google Keyword Planner, Facebook Business
3. สินค้าที่ว่านั้นมีคู่แข่งขายมากน้อยขนาดไหน
เมื่อมีความต้องการซื้อ(อุปสงค์)ก็ต้องมีความต้องการขาย(อุปทาน)คู่กัน หากคุณเจอสินค้าที่มีความต้องการสูงในตลาดโดยปกติแล้วก็จะมีความต้องการขายมากเช่นกัน นั่นแปลว่าถ้าคุณลงไปขายสินค้าตัวนั้น คุณจะเจอกับคู่แข่งที่เยอะมาก หรือคุณอาจจะเจอคู่แข่งที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งนั่นจะทำให้คุณต้องแข่งขันอย่างหนักเพื่อให้ได้ลูกค้ามาและมันอาจจะทำให้คุณได้ไม่คุ้มเสีย ซึ่งเราแนะนำว่าลองหาสินค้าที่มีความต้องการที่พอเหมาะกับคู่แข่งที่ไม่มากนักก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่สุดท้ายแล้วขึ้นอยู่กับคุณว่าคุณเก่งมากแค่ไหนในการเอาชนะคู่แข่ง
สรุป
• หาสินค้าที่คุณเข้าใจมันดีหรือมีความชอบ
• หาข้อมูลว่ามีความต้องการซื้อเพียงพอต่อการลงทุนหรือไม่
• และสุดท้ายสำรวจคู่แข่งว่ามีมากน้อยและแข่งเกร่งเพียงใดเพื่อที่จะตัดสินใจว่าควรจะสู้หรือว่าถอย
หากมีคำถามหรือข้อโต้แย้งสามารถคอมเมนต์แลกเปลี่ยนกันได้เลย! หากชอบคอนเทนต์แบบนี้ฝากกดแชร์เพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ที่กำลังสนุกกับการทำธุรกิจแล้วเติบโตไปด้วยกัน
ขอขอบคุณบทความดีๆจาก The Spider grow your star
Comments