top of page
  • Facebook
ค้นหา

25 เทคนิคการขายของยังไงให้ขายดี 2024

  • psrwbiz
  • 20 พ.ค. 2567
  • ยาว 2 นาที

อัปเดตเมื่อ 24 พ.ค. 2567


ในฐานะพนักงานขาย ฉันแน่ใจว่าคุณคงได้รับคำแนะนำมากมายตลอดทั้งปีอยู่แล้ว รวมทั้งเทคนิคการขาย ซึ่งนอกจากการเรียนขายนอกสถานที่แล้ว หลักการขายเหล่านี้ยังสามารถทำให้คุณสามารถใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดและปิดการขายได้สำเร็จ ฉันมั่นใจว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการขายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ได้แบ่งปันเคล็ดลับสู่ความสำเร็จทั้งหมดให้กับคุณแน่นอน เพราะแบบนั้นก็คงเหมือนการเปิดเผยซอสสูตรลับของ McDonald อะไรแบบนั้น ไม่อย่างนั้น ร้านเบอร์เกอร์อื่นๆ ก็คงนำสูตรที่ได้ไปปรับและต่อยอดเอาเองกันหมด แต่นี่คือ 25 เทคนิคการขายที่ผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าแนะนำ

1. รู้จักลูกค้าเป้าหมาย

Amanda Abella ผู้แต่งหนังสือขายดีของ Amazon เรื่อง “Make Money Your Honey” ได้เขียนเอาไว้ว่า “ขั้นตอนแรกในการเพิ่มอัตราการปิดการขายคือการรู้ว่าลูกค้าเป้าหมายของคุณคือใคร”

“วิธีนี้จะช่วยไม่ให้คุณปวดหัวได้มาก เพราะคุณจะสามารถวิเคราะห์กระบวนการขายได้เป็นส่วนๆ แล้วพัฒนาเพิ่ม ทั้งยังช่วยให้คุณตัดบทการขายให้สั้นลงหากไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด คุณจะต้องรู้ว่าจุดมุ่งหมายของคุณคืออะไร”

2. เลียนแบบลูกค้าเป้าหมาย

การทำตาม คือการใช้น้ำเสียงและจังหวะของคนอื่น ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในวิธีขายของให้น่าสนใจ เพราะถ้าลูกค้าเป้าหมายมีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณพูดจาเสียงดัง คุณก็ต้องพูดดังด้วย เมื่อทำได้อย่างถูกต้อง การเลียนแบบจะสามารถสร้างสายสัมพันธ์และเพิ่มยอดขายได้ในที่สุด ถือเป็นตัวอย่างคําพูดขายสินค้าที่ได้ผลดีทีเดียว

เพื่อให้เลียนแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณต้องรู้ให้จริง ซึ่งสามารถทำได้โดย:

  • สร้างความสัมพันธ์ของคุณก่อนโดยให้ความสนใจกับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ และอย่าลืมสบตา

  • เริ่มด้วยการเลียนแบบจังหวะและระดับเสียงของอีกฝ่าย

  • เข้าใจจังหวะหยุดของอีกฝ่าย

3. ทำให้ตัวเองดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบร้ายแรงถ้าขายไม่ได้

“การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่ผมเคยทำเกี่ยวกับการเจรจาและการขายคือการทำให้ตัวเองดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบร้ายแรงถ้าขายไม่ได้” เขียนโดย Preston D. Lee ผู้ก่อตั้งเว็บ Milo

“ถ้าคุณสร้างธุรกิจโดยต้องพึ่งพาลูกค้า 100 เปอร์เซ็นต์เพื่อให้อยู่รอด คุณก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเอาเปรียบ”

“ทำไม? เพราะลูกค้าของคุณจะสัมผัสได้ว่าคุณหมดหวังกับธุรกิจของตัวเองแค่ไหน”

“และเมื่อคุณหมดหวัง คุณก็ทำได้ทุกอย่าง ขายได้ราคาต่ำแม้สินค้าจะเป็นที่ต้องการ ทั้งยังไม่มีอิสระในการสร้างสรรค์ ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องการให้ลูกค้าจ่ายเงินมากกว่าที่ลูกค้าต้องการบริการของคุณ คุณก็ไม่มีอำนาจในการต่อรองแน่นอน”

พูดง่ายๆ คือ วางตัวเองให้อยู่ในจุดที่จะไม่หมดหวังน้อยลงเมื่อต้องขายครั้งต่อไป

4. รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ต้องติดต่อกับลูกค้าเป้าหมาย

แน่นอนว่าคุณไม่อยากรบกวนลูกค้าเป้าหมายมากนัก แต่ทุกนาทีมีค่า อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การขาย เพราะยิ่งถ้าคุณรอนาน ลูกค้าเป้าหมายก็จะยิ่งสนใจสินค้าน้อยลงเท่านั้น ในความเป็นจริง หลักวิทยาศาสตร์แสดงให้เราเห็นว่าลูกค้าจะซื้อในเวลาที่ใกล้เคียงกับที่สอบถามข้อมูลสินค้าครั้งแรก คุณจึงควรพยายามติดต่อพวกเขาภายในห้านาที

งานวิจัยที่ละเอียดกว่านั้นยังพบว่าเวลาที่ดีที่สุดในการติดต่อลูกค้าเป้าหมายคือระหว่าง 8.00 น. ถึง 9.00 น. และอีกรอบระหว่าง 16.00 น. ถึง 17.00 น. โดยวันที่ดีที่สุดก็คือวันพุธและวันพฤหัสบดีที่มักจะติดต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

5. ยืนเมื่อคุณขาย นั่งเมื่อคุณฟัง

Ryan Stewman (หรือ Hardcore Closer) เขียนไว้ว่า “คุณจะแสดงพลังเมื่อยืนออกมาได้มากกว่าตอนนั่ง” 

แทนที่จะนั่งฟังเฉยๆ ให้ลุกขึ้นยืนแทน แม้ว่าคุณจะคุยโทรศัพท์กับลูกค้าเป้าหมายอยู่ ให้เดินไปรอบๆ ออฟฟิศคุณแทน “มันทำให้พลังงานไหลเวียนและช่วยเพิ่มโมเมนตัมเพื่อผลประโยชน์ให้กับการโทรของคุณ” Stewman พูดเสริม

“ในทางกลับกัน คุณควรนั่งลงเมื่อต้องรับฟังข้อกังวลและเมื่อลูกค้าไม่เห็นด้วย เพื่อให้คุณรู้สึกผ่อนคลายโดยที่ไม่ต้องขัดจังหวะลูกค้า

เทคนิคการปิดการขายที่ดีคือการแก้ปัญหา และเพื่อแก้ปัญหาคุณต้องฟัง ควบคุมจังหวะของการสนทนาจากการนั่งเมื่อต้องฟัง และยืนเมื่อต้องพูด คุณจะเข้าใจเองว่าการทำแบบนี้จะส่งผลดีต่อการขายได้ครั้งแล้วครั้งเล่า”

6. กำหนดเวลานัดคุยให้มีประสิทธิภาพที่สุด

การคุยโดยเฉลี่ยใช้เวลา 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง ให้ทำอะไรที่แตกต่างออกไปเล็กน้อยและกำหนดเวลาคุยที่ 25 หรือ 45 นาทีแทน นี่เป็นการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อจดบันทึก ซักถาม หรือส่งอีเมลติดตามผล

7. พยักหน้าเมื่อคุณพูด

วิธีขายของยังไงให้ขายดี พบว่าการพยักหน้าขณะพูดสามารถทำให้คุณรู้สึกดีและมีความมั่นใจมากขึ้น ผลที่ตามมาคือ คุณจะดูมั่นใจและรอบรู้มากขึ้นต่อหน้าลูกค้า

8. ใช้เทคนิค “ตัวล่อ”

เมื่อคุณประสบปัญหาในการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีราคาแพง ให้แนะนำทางเลือกที่สามกับลูกค้าแทน โดยจุดประสงค์เดียวของ “ตัวล่อ” นี้ก็คือทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการดูมีราคาแพงกว่าหรือน่าดึงดูดยิ่งขึ้น เพราะต่อให้เป็นสินค้าที่ราคาเดียวกัน แต่ก็อาจดูน่าดึงดูดน้อยกว่าได้นั่นเอง

9. ยิ้ม

เทคนิคขายที่ง่ายที่สุดที่คุณสามารถทำได้เพื่อกระตุ้นยอดขายคือรอยยิ้ม ใช่ ง่ายๆ แค่นี้เลย

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Penn State พบว่าคนที่ยิ้มจะดูน่ารัก สุภาพ และมีความสามารถ โดยงานวิจัยอื่นๆ ก็แสดงให้เห็นว่าการยิ้มจะสร้างความไว้วางใจได้อีกด้วย

  • ยิ้มทันทีที่ตื่น

  • เตือนตัวเองว่าวันนี้คุณจะยิ้มมากขึ้น

  • เตือนตัวเองให้ยิ้มบ่อยๆ

  • สร้างจังหวะที่ต้องยิ้ม

  • คิดแต่เรื่องดีๆ

  • ยิ้มให้ทุกคนที่เจอในวันนี้

10. ขอให้ลูกค้าแนะนำผลิตภัณฑ์ต่อ

Dale Carnegie เคยกล่าวไว้ว่า “ลูกค้า 91 เปอร์เซ็นต์บอกว่าพวกเขาอยากแนะนำผลิตภัณฑ์ [แต่] มีพนักงานขายเพียง 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ขอให้แนะนำ” ถ้าไม่มองเรื่องความถูกต้องของตัวเลขที่ว่า งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า 65 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจใหม่เกิดจากการบอกต่อ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว คงเป็นอะไรที่ไม่เข้าท่าเลยถ้าจะไม่ขอคำแนะนำผลิตภัณฑ์ และอย่าลืมให้รางวัลเพื่อสนับสนุนลูกค้าด้วย จะมีอะไรต้องกังวลกันล่ะ? เพราะบางคนก็อาจ “ปฏิเสธ” แต่บางคนก็อาจตอบ “ตกลง” แค่นั้นเอง

11. โทรซ้ำ

นี่คือประโยคเด็ดจากนักเขียนหนังสือขายดี Jeb Blount: เมื่อถึงเวลากลับบ้านให้โทรซ้ำอีกครั้ง อันที่จริง พิมพ์ประโยคเมื่อกี้ติดไว้สักที่ เมื่อกลับบ้านเลทหรืออยากกลับบ้านแล้ว

“ผลลัพธ์ของการโทรซ้ำนั้นน่าเหลือเชื่อ” Blount กล่าว “หลายครั้งที่ผม ‘โทรซ้ำ’ นั้นถือเป็นการปิดการขายได้เลย ราวกับว่าจักรวาลให้รางวัลสำหรับสิ่งที่ผมยึดมั่นเอาไว้”

12. เพิ่มยอดขายเล็กน้อยในจุดต่างๆ

ตามแนวทางปฏิบัติของ Amanda Abella คุณสามารถขายผลิตภัณฑ์หรือบริการเพิ่มเติมได้โดยสร้างหน้าเว็บขอบคุณหลังจากที่มีคนเลือกใช้แผ่นงาน งานพรีเซนต์ หรือการสัมมนาออนไลน์แบบฟรีๆ

อีกตัวเลือกคือการใช้ระบบคะแนน โดย Amanda ใช้หลักการที่ว่า “หลังจากมีคนสมัครงานเข้ามาเป็นโค้ช ถ้าพวกเขายังมีคะแนนไม่ถึงเกณฑ์ ฉันจะแนะนำหนังสือของฉันและขายเป็นโปรแกรมการเรียนด้วยตนเองให้ลูกค้าแทน”

เทคนิคนี้ไม่เพียงแค่การคัดคนที่ไม่เหมาะกับธุรกิจของเธอเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มยอดขายหนังสืออีกด้วย

“และแน่นอน เมื่อขายโดยตรงจากหน้าหลัก ต้องแน่ใจว่าได้รองรับวิธีการชำระเงินที่หลากหลายเอาไว้ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้า”

13. ทำตาม “กฎข้อ 7”

John Stevens กล่าวไว้กับ The Balance ว่า “‘กฎ 7 ข้อ’ คือหลักการตลาดที่ระบุว่าผู้มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าต้องได้รับข้อเสนอของคุณอย่างน้อย 7 ครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจถึงข้อเสนอของคุณจริงๆ และเริ่มตัดสินใจซื้อ”

กฎนี้มีรากฐานมาจากจิตวิทยา เนื่องจากมีการสังเกตผ่านกลไกจิตใจที่เรียกว่า “Mere Exposure Effect” หรือ “หลักความคุ้นเคย” โดยกลไกจิตใจดังกล่าวอธิบายเอาไว้ว่า ยิ่งผู้คนได้สัมผัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะมีแนวโน้มที่จะจดบันทึกและพัฒนาความชอบกับสิ่งนั้นๆ มากขึ้นด้วย

คุณจะรวมกฎนี้เข้ากับเทคนิคการพูดขายของได้ยังไง?

  • ขยายช่องทางการตลาดของคุณให้ได้มากที่สุด

  • ใช้ประโยชน์จากคอนเทนต์หลายรูปแบบ เช่น บล็อกโพสต์ วิดีโอ กรณีศึกษา และอินโฟกราฟิก

  • เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายหลายครั้งต่อวัน หรือก็คือการผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

  • สร้างรายการส่งอีเมล

  • มีส่วนร่วมกับบล็อกอุตสาหกรรมและสิ่งที่เผยแพร่ออกไป

  • ใช้งานโซเชียลมีเดีย ซึ่งรวมถึงเครือข่ายหลักๆ เช่น Facebook และ Twitter แต่ยังรวมถึงเว็บไซต์โซเชียลมีเดียในอุตสาหกรรมเฉพาะด้วย

  • ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เช่น การกำหนดเป้าหมายใหม่ การทำรีมาร์เก็ตติ้ง และการแจ้งเตือนแบบพุช

14. ใช้ประโยชน์จาก LinkedIn

Jack Kosakowski จากบริษัท Act-On Software กล่าวว่า “เคล็ดลับของผมคือวิธีการที่ผมใช้เพื่อค้นหาผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าบน LinkedIn” 

“ก่อนอื่น ผมดึงดูดผู้คนที่เขียนบทความบน LinkedIn ผ่านการแสดงความคิดเห็นหรือส่งบันทึกย่อเกี่ยวกับบทความของพวกเขา จากนั้นฉันก็แบ่งปันคอนเทนต์ผ่านช่องทางโซเชียลของตัวเองเพื่อช่วยขยายงานของพวกเขา”

“เมื่อผมสร้างความผูกพันให้สูงขึ้นผ่านการโปรโมท ผมจะติดต่อกลับกับพวกเขาบน LinkedIn เพื่อแบ่งปันเกี่ยวกับสิ่งที่ผมทำสักเล็กน้อย โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะตอบรับการติดตามผลของผมเพราะพวกเขารับรู้ถึงความพยายามที่ผมทุ่มเทโปรโมทพวกเขา”

15. พูดชื่อลูกค้าซ้ำหลายๆ ครั้ง

ถึงจะฟังดูอวยๆ ลูกค้าไปบ้าง แต่นี่คือเรื่องจริง ทุกคนชอบได้ยินเสียงชื่อของตัวเอง ดังนั้นเมื่อปิดการขาย ให้พูดชื่อลูกค้าเป้าหมายซ้ำๆ ตลอดการสนทนา เพื่อดึงความสนใจของพวกเขาและแสดงให้เห็นว่าคุณจดจ่ออยู่กับพวกเขาเท่านั้น

16. คาดการณ์การคัดค้านและฝึกพลิกแพลงให้เป็นการขาย

Steve Bookbinder ซีอีโอและผู้เชี่ยวชาญด้านการขายที่ DM Training กล่าวว่า “ถ้าคุณเป็นนักขาย ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะได้เจอกับข้อโต้แย้งและอุปสรรคต่างๆ ถ้าคิดว่าจะไม่เจอเลยก็คงต้องบอกว่าคุณคิดผิด”

“และนั่นจะเป็นเหตุผลที่คุณสามารถพลิกแพลงเพื่อที่จะขายด้วยการเตรียมการและฝึกตอบเมื่อลูกค้าแย้งมาและฝึกเผชิญกับปัญหาทั่วๆ ไป”

“คุณคงเข้าใจถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมแล้ว แต่ขั้นตอนใดที่ควรทำเพื่อเตรียมการรับมือและเปลี่ยนการค้านให้เป็นการขายโดยเฉพาะกันล่ะ?”

“ขั้นแรก สร้างรายการข้อโต้แย้ง คำถาม และข้อกังวลที่คุณได้รับจากลูกค้าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง จากนั้นสร้างคำตอบสำหรับแต่ละคำถาม”

“เมื่อคุณทำรายการแล้ว ให้เริ่มฝึกการพลิกแพลงจนกว่าจะฟังดูเป็นธรรมชาติ เมื่อคุณเริ่มใช้การพลิกแพลงแบบนี้ คุณก็จะสามารถปรับแต่งและปรับเปลี่ยนคำพูดได้ตามต้องการ โดยขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าและลูกค้าของคุณ”

17. ถ้าลูกค้าขายสินค้าที่คุณซื้อได้ ให้ซื้อเลย

เมื่อพูดถึงการขายเบื้องต้น การสร้างสายสัมพันธ์กับลูกค้าเป้าหมายและทำให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก จะมีวิธีใดดีไปกว่าที่คุณจะสามารถบรรลุเป้าหมายแบบนี้ได้โดยการแสดงการสนับสนุนธุรกิจของลูกค้าเป้าหมายกันล่ะ

ตัวอย่างเช่น ถ้าพวกเขาขายเสื้อผ้า ให้สวมใส่สินค้านั้นเมื่อต้องพบกับลูกค้าเป้าหมายคนดังกล่าว แน่นอนว่าต้องมีความเป็นธรรมชาติด้วย เพราะคุณคงไม่อยากใส่เสื้อผ้าสำหรับเด็กเพื่อพิสูจน์ว่าคุณสนับสนุนพวกเขาหรอก

หากลูกค้าเปิดบริการอะไรสักอย่าง ให้ซื้อและลองใช้ดู วิธีนี้ทำให้คุณสามารถแบ่งปันความเห็นและข้อเสนอแนะของคุณกับลูกค้าเป้าหมายได้

18. ทำความคุ้นเคยกับ “ข้อมูลชุดแรก”

Samuel J. Woods นักการตลาดเพื่อการเติบโตเขียนไว้ว่า “ข้อมูลชุดแรกจะส่งผลโดยตรงกับความทรงจำของผู้คนมากที่สุด” 

“เมื่อพวกเขาได้รับลำดับของข้อมูล (ตัวเลข ชื่อ คุณสมบัติ ฯลฯ) ข้อมูลที่ส่วนท้ายของลำดับจะจำได้ง่ายที่สุด ข้อมูลชุดแรกจะถูกจดจำในลำดับถัดไป ส่วนข้อมูลส่วนกลางก็มีโอกาสที่จะลืมได้ง่ายที่สุด”

คุณสามารถใช้ไอเดียในการตลาดของคุณได้โดยทำดังต่อไปนี้

“ลองนึกถึงวิธีที่คุณนำเสนอข้อมูลให้กับลูกค้าเป้าหมาย โดยเน้นคุณสมบัติที่คุณรู้ว่าจะเป็นประโยชน์หรือสำคัญที่สุดสำหรับลูกค้าในตอนต้นหรือตอนท้ายการโฆษณาของคุณ

นอกจากนี้ยังใช้ในการพูดเรื่องราคาได้ โดยทั่วไป เมื่อพูดถึงราคาแบบสามระดับ ราคาระดับกลางจะเป็นสินค้าขายดีของคุณ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณมีสินค้าที่มีราคามากกว่าสามระดับ โดยทั่วไปราคาแรกหรือสุดท้ายจะเป็นสินค้าขายดี

ทำความเข้าใจสำคัญของลำดับข้อมูลเมื่อต้องอธิบายถึงคุณสมบัติและราคา โดยวางแผนการขายของคุณตามลำดับนั้นๆ”

19. เปิดโอกาสให้ลูกค้า “ปฏิเสธ”

“แม้ตัวอย่างการพูดโน้มน้าวใจขายสินค้าทั้งหมดในโลกจะบอกว่าคุณต้องให้ลูกค้าเป้าหมายพูดว่า ‘ตกลง’ ซ้ำๆ แต่พนักงานขายที่เก่งที่สุดในโลกจะให้โอกาสลูกค้าเป้าหมายบอกปฏิเสธ” กล่าวโดย Mike Michalowicz ผู้เขียน The Pumpkin Plan และ The Toilet Paper Entrepreneur

“การพูดว่าตกลงบ่อยๆ จะไปลดความสำคัญของคำลงทุกครั้งที่พูด แต่ถ้าลูกค้าเป้าหมายได้พูดว่า ‘ไม่เอา’ หลายๆ ตัวเลือก และตอบว่า ‘เอา’ กับตัวเลือกที่เหมาะที่สุดในเวลาที่ใช่ พวกเขาก็มักจะยึดติดกับตัวเลือกนั้นๆ มาก”

นี่คือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ดีที่สุดจึงขายบ้านที่ไม่ค่อยดีก่อน แล้วเมื่อลูกค้าเห็นบ้านที่เหมาะ พวกเขาก็จะพยายามโน้มน้าวใจคุณเต็มที่”

20. ตื่นและทำตัวให้สดชื่นเข้าไว้

งานวิจัยพบว่าพนักงานขายระดับสูงเป็นคนตื่นเช้า ซึ่งในความเป็นจริง 76 เปอร์เซ็นต์ของพวกเขาจะลุกออกจากเตียงก่อน 7 โมงเช้า ในขณะที่ 35 เปอร์เซ็นต์ตื่นก่อน 6 โมงเช้า แม้ว่าจะดูเหมือนไม่ใช่เทคนิคการขายที่ง่ายที่สุดสำหรับคนที่ไม่ชอบตื่นเช้า แต่ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร

21. ทำให้ลูกค้ากลับมาหาคุณเสมอ

“เมื่อความสัมพันธ์ของลูกค้ากับบริษัทยืดยาวขึ้น ผลกำไรก็เพิ่มขึ้น และก็ไม่ได้เพิ่มมาแค่นิดเดียวเท่านั้น โดยหลายบริษัทสามารถเพิ่มผลกำไรได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์จากการรักษาลูกค้าเพิ่มขึ้นเพียง 5 เปอร์เซ็นต์” – FP Reichheld ผู้เขียน “The Loyalty Effect”

สำหรับธุรกิจของคุณ ลูกค้าที่ภักดีอาจมีสัดส่วนเพียง 12-15 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าทั้งหมด แต่พวกเขาก็สามารถสร้างรายได้ให้กับคุณได้มากถึง 70 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

ฟูมฟักความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยการทำให้ลูกค้ากลับมาหาคุณเสมอ พร้อมตอบแทนพวกเขาที่กลับมาซื้อสินค้ากับคุณซ้ำ ตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดร้านกาแฟ คุณสามารถแจกกาแฟฟรี 1 แก้วให้กับลูกค้าหลังจากที่ลูกค้าซื้อเครื่องดื่มครบ 10 แก้ว

22. ลงทุนในเทคโนโลยี

ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะมีขนาดเท่าไหร่ หลายๆ เทคนิคการขายก็ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี เพราะเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยให้คุณและทีมขายครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นและปิดการขายได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น Salesforce ที่เป็นแพลตฟอร์มลูกค้าสัมพันธ์ชั้นนำ โดยการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าจะทำให้คุณได้จัดการและโต้ตอบกับลูกค้าและผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าได้ทั้งหมด

23. สนับสนุนประเด็นสังคม

การสนับสนุนประเด็นสังคมจะเพิ่มยอดขายได้ยังไง? เหตุผลง่ายๆ เลยคือถูกใจตลาด Gen Z

ข้อมูลของ American Marketing Association อธิบายว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของคน Gen Z สนับสนุนแบรนด์ที่สนับสนุนประเด็นสังคมที่พวกเขาสนใจ หรือก็คือถ้าคุณตระหนักถึงเรื่องในสังคมมากขึ้น ก็อาจทำให้ยอดขายของคุณดีขึ้นในชั่วข้ามคืนได้เลย

ไม่รู้ว่าจะสนับสนุนประเด็นอะไรดี? ถามทีมของคุณ หากมีประเด็นที่พวกเขาสนใจ ก็มีโอกาสที่ลูกค้าของคุณก็สนใจเช่นกัน และยังมีข้อดีตรงที่พวกเขาจะมีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์สินค้าของคุณมากขึ้นด้วย

24. “ให้ฉันช่วยไหม?”

Erica McCurdy โลฟ์โค้ชจากบริษัท McCurdy กล่าวไว้ใน Forbes ว่า “สี่คำเหล่านี้เป็นตัวเปลี่ยนเกม”

“เมื่อเราถามอีกคนหนึ่งว่าเราสามารถให้บริการพวกเขาได้อย่างไร เท่ากับว่าเราเข้าข้างพวกเขา เราจะกลายเป็นพันธมิตรแทนมากกว่าศัตรู”

“เพียงสี่คำ เราก็ได้ขอให้ลูกค้าของเราแบ่งปันสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาและให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาของพวกเขา การสนทนากับลูกค้าถือเป็นข้อมูลที่มีพลังมากที่สุด”

25. ตรวจสอบประสิทธิภาพของคุณ

Miranda Marquit นักข่าวและผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินแนะว่า “สุดท้ายนี้ สิ่งสำคัญคือคุณต้องทบทวนประสิทธิภาพของคุณ”

“ตรวจสอบการขายของคุณ คิดให้ออกว่าอะไรที่ได้ผลและอะไรที่ไม่ได้ผล ซึ่งรวมถึงการดูช่องทางการตลาดเพื่อเช็กว่าช่องทางใดมีประสิทธิภาพมากที่สุด ใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ บริการ หรือวิธีการขายของคุณเอง”

“เมื่อคุณตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล คุณจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาวมากขึ้น”

ทดสอบเทคนิคการขาย

ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าเทคนิคการขายมีอะไรบ้าง ลองนำเทคนิคการขายเหล่านี้ไปใช้จริงสักปีสองปี แล้วหาคำตอบว่าเทคนิคข้อใดที่เหมาะกับคุณ เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายของคุณทั้งในปัจจุบันและในอนาคต


ขอขอบคุณบทความดีๆจาก Bussiness 2 Community

 
 
 

Comentários


Shelfy Logo

ShelfyStore โรงงานผลิตชั้นวางของครบวงจร

ชั้นวางสินค้าราคาโรงงาน ขายส่ง ชั้นวางของ ชั้นวางของอเนกประสงค์ ชั้นเก็บของ แร็ควางของ ชั้นวางของสําเร็จรูปshelf สินค้า ชั้นวางของในโกดัง ชั้นวางของหน้าร้าน รวมถึง ชั้นวางของในบ้าน ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน มาพร้อมบริการรับทำและออกแบบชั้นวางของตามสั่ง พร้อมบริการติดตั้งฟรี ในเขต กทม. และปริมณฑล

Group 1000004476.png
Group 1000004477.png
Group 1000004478.png
Group 1000004479.png

สาขารัชดา (สาขาหลัก)

90/1 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310

โทร :

สาขาบางบอน

40 เอกชัย 25 หมู่ 10 แขวงบางขุนเทียน เขตบางบอน กรุงเทพฯ 10150

โทร :

สาขารังสิต

223 ถนนพหลโยธิน (ปากซอยพหลโยธิน 111 ใกล้แม็คโครังสิต) ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 12130

โทร :

สาขาศรีนครินทร์

417/1-2 ถนนศรีนครินทร์  ตำบลสำโรงเหนือ, อำเภอเมืองสมุทรปราการ, สมุทรปราการ 10270

โทร :

bottom of page