หลายคนอาจจะเคยลงทุนทำธุรกิจเล็ก ๆ ด้วยตัวเอง โดยเลือกธุรกิจที่ดูทำเงินได้และมีท่าทีที่จะประสบความสำเร็จสูง แต่ท้ายที่สุดกลับไม่เป็นไปตามที่หวังเอาไว้ เพราะขาดทุนบ้าง ยอดขายไม่ปังบ้าง หรือบางรายอาจถึงขั้นต้องปิดกิจการกันเลยทีเดียว สาเหตุก็อาจเกิดจากการที่เราไม่ได้ทำ SWOT Analysis ก่อนเริ่มทำธุรกิจนั้น ๆ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญขั้นตอนหนึ่ง ตอนนี้หลายคนคงอยากรู้แล้วว่า SWOT คืออะไรและมีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจยังไงบ้าง ไปหาคำตอบกันเลย!
SWOT Analysis คืออะไร?
SWOT Analysis คือ เครื่องมือที่ช่วยให้คนทำธุรกิจทราบถึงภาพรวมและศักยภาพของธุรกิจตัวเอง เพื่อเอาไว้ใช้วางแผนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะสม และช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถวิเคราะห์กระบวนการการทำงาน พร้อมประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทได้ โดยคำว่า SWOT จะประกอบไปด้วย
S = Strength (จุดแข็ง)
W = Weakness (จุดอ่อน)
O = Opportunities (โอกาส)
T = Threats (อุปสรรค)
ประโยชน์ของการวิเคราะห์ SWOT Analysis
1. ได้รู้จักและเข้าใจธุรกิจของตัวเองมากขึ้น
เนื่องจากการวิเคราะห์ SWOT จะช่วยให้ทุกคนเห็นภาพรวมของบริษัทได้ชัดเจนมากขึ้น แถมยังเป็นโอกาสที่ดีในการทบทวนองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อแก้ไขจุดอ่อนพร้อมพัฒนาจุดแข็ง ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
2. ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำรายได้
คนทุกคนเมื่อรู้ข้อดีหรือจุดเด่นของตัวเอง ก็มักจะเอาสิ่งนั้นมาเป็นแต้มต่อในการใช้ชีวิต เช่นเดียวกันกับการทำธุรกิจ ที่เมื่อเราได้รู้จุดแข็งของธุรกิจตัวเองเมื่อไร เราก็จะสามารถนำจุดแข็งนั้นมาประยุกต์ใช้กับสิ่งต่าง ๆ เพื่อสร้างโอกาสและช่องทางที่สามารถเพิ่มพูนรายได้ให้กับธุรกิจ
3. ช่วยให้บรรลุเป้าหมายจากการพัฒนากลยุทธ์
เมื่อเริ่มลงมือทำธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง เจ้าของธุรกิจนั้นจะต้องมีความต้องการหรือเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ซึ่ง SWOT Analysis จะช่วยให้เราสามารถวางแผนและพัฒนากลยุทธ์ได้อย่างตรงจุดและสอดคล้องกับจุดแข็งจุดอ่อน ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการบรรลุเป้าหมายหรือประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น
ขั้นตอนการทำ SWOT Analysis
1. ประเมินสภาพแวดล้อมภายในองค์กร
เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์จากทรัพยากรภายในองค์กร ตั้งแต่โครงสร้างบริษัท วิธีการดำเนินงาน สิ่งแวดล้อมในการทำงาน ทรัพยากรภายใน เช่น พนักงาน เงินทุน และการจัดการ รวมไปถึงผลการดำเนินงานที่ผ่าน ๆ มา เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบไปด้วย
จุดแข็ง (S – Strength) คือ สิ่งที่เป็นจุดเด่นหรือข้อได้เปรียบของธุรกิจ ที่เหมาะแก่การนำมาใช้ในการพัฒนาธุรกิจได้
จุดอ่อน (W – Weakness) คือ ปัจจัยที่ทุกคนเห็นว่าเป็นจุดด้อยหรือข้อเสียเปรียบขององค์กร ที่จะต้องนำมาปรับปรุงและแก้ไขให้ดีขึ้น
2. ประเมินสภาพแวดล้อมภายนอกองค์กร
หลังจากที่เราได้รู้จุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจกันไปแล้ว ต่อมาก็จะต้องประเมินจากภายนอกองค์กร เพื่อค้นหาสิ่งที่เป็นโอกาสในการทำธุรกิจและอุปสรรคที่กระทบต่อการดำเนินงาน เช่น สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงสภาพแวดล้อมทางสังคมและทางการเมือง เป็นต้น ซึ่งประกอบไปด้วย
โอกาส (O – Opportunities) คือ สิ่งที่องค์กรสามารถหยิบเอามาใช้ เพื่อสร้างประโยชน์และทำให้ธุรกิจแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
อุปสรรค (T – Threats) คือ ปัจจัยสำคัญที่อาจสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจ ซึ่งองค์กรจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงและคอยรับมือกับอุปสรรคเหล่านั้น
3. ระบุสถานการณ์จากการประเมินสภาพแวดล้อม
เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพรวมและเข้าใจธุรกิจของตัวเองมากขึ้น เมื่อได้ข้อมูลเกี่ยวกับ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค จากการทำ SWOT Analysis มาแล้ว ก็ให้นำ จุดแข็งและจุดอ่อน ไปเปรียบเทียบกับ โอกาสและอุปสรรค เพื่อเช็กว่าธุรกิจของเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ไหนหรือเผชิญกับสิ่งใดอยู่ เพื่อนำไปซึ่งการสร้างโอกาสและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลเกี่ยวกับ SWOT Analysis ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไรต่อการทำธุรกิจ ที่น่าจะช่วยให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญของการวิเคราะห์ SWOT กันมากขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยให้เรารู้จักธุรกิจของตัวเองมากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้เราบริหารและดำเนินธุรกิจไปได้อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ
ขอขอบคุณบทความดีๆจาก ThaiBussiness Search
Comments