แร็ควางของแบบไหนเหมาะกับสินค้าเบา/หนัก? เจาะลึกการเลือกให้ถูกงาน
- SEO Team
- 19 ก.ย.
- ยาว 1 นาที

ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจร้านค้า คลังสินค้า หรือแม้แต่จัดบ้านให้เป็นระเบียบแร็ควางของคืออุปกรณ์จัดเก็บที่ขาดไม่ได้ แต่สิ่งที่หลายคนมักสงสัยคือ “ถ้าของที่เก็บมีทั้งเบาและหนัก ควรเลือกแร็คแบบไหนดีถึงจะปลอดภัยและใช้งานคุ้มค่า?”
คำตอบไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับวัสดุ โครงสร้าง น้ำหนักที่รองรับ และการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกตั้งแต่การแยกประเภทของแร็ค ไปจนถึงเคล็ดลับการเลือกให้ตรงกับงาน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ถูกต้องและไม่เสียเงินซ้ำซ้อน
รู้จักประเภทแร็ควางของที่ใช้กันบ่อย
แร็ควางของไม่ได้มีแบบเดียว แต่มีหลายประเภทที่ออกแบบมาให้เหมาะกับงานต่าง ๆ เช่น
แร็คเหล็กวางของทั่วไป → ใช้ในบ้าน ร้านค้า หรือสำนักงาน มักรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 50–200 กก. ต่อชั้น เหมาะสำหรับสินค้าเบาถึงปานกลาง
แร็ควางของอุตสาหกรรม (Heavy Duty Rack) → โครงสร้างหนา แข็งแรง รองรับน้ำหนักได้หลายร้อยกิโลกรัมต่อชั้น เหมาะกับโกดังหรือโรงงานที่เก็บสินค้าหนัก
แร็ควางของสำเร็จรูปแบบ Knock Down → ประกอบง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับเปลี่ยนตำแหน่งบ่อย
Selective Rack / Pallet Rack → ใช้ในระบบคลังสินค้าขนาดใหญ่ รองรับพาเลทและน้ำหนักมาก

แร็ควางของสำหรับสินค้าเบา เลือกยังไงดี?
หากของที่ต้องการจัดเก็บมีน้ำหนักไม่มาก เช่น เสื้อผ้า เครื่องเขียน หนังสือ ของตกแต่ง หรือสินค้าขนาดเล็ก แนะนำให้เลือกแร็คที่มีโครงสร้างบางกว่า เช่น แร็คเหล็กชุบหรือแร็คไม้ MDF ที่รับน้ำหนักได้ 50–100 กก. ต่อชั้น
สิ่งสำคัญในการเลือกแร็คสำหรับสินค้าเบาคือความ ประหยัดพื้นที่ และ ดีไซน์ที่เข้ากับสภาพแวดล้อม เพราะของเหล่านี้ไม่ได้มีแรงกดทับมาก แต่ต้องการความเป็นระเบียบและหยิบใช้งานสะดวก
ตัวอย่าง: ร้านกาแฟที่ต้องการโชว์สินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างแก้วน้ำหรือของฝาก มักเลือกแร็คไม้หรือแร็คเหล็กผสมไม้ เพราะช่วยเสริมบรรยากาศและเพียงพอกับน้ำหนักสินค้า
แร็ควางของสำหรับสินค้าหนัก ต้องแข็งแรงแค่ไหน?
เมื่อพูดถึงสินค้าที่มีน้ำหนักมาก เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องจักรชิ้นส่วนใหญ่ กล่องสินค้าในโกดัง หรือสต็อกสินค้าที่เป็นพาเลท การเลือกแร็คที่ผิดพลาดอาจทำให้เกิดอันตรายได้
แร็คสำหรับงานหนักควรเลือก Heavy Duty Rack หรือ Pallet Rack ที่ทำจากเหล็กหนา รับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 200–500 กก. ต่อชั้นขึ้นไป และควรมีคานเสริมเพื่อกระจายน้ำหนักเท่ากันทุกด้าน นอกจากนี้ โครงสร้างต้องมั่นคง มีเสาค้ำ และสามารถยึดติดกับพื้นหรือผนังได้ เพื่อป้องกันการล้มเมื่อวางของจำนวนมาก
ตัวอย่างชั้นวางของเหล็ก 4 ชั้น สำหรับวางของ เก็บของในโกดัง

ปัจจัยที่ควรคิดก่อนเลือกแร็ควางของ
ก่อนจะตัดสินใจซื้อแร็ค ควรพิจารณา 3 เรื่องหลัก ๆ คือ
ประเภทสินค้า – สินค้าเบา เน้นความสวยงามและการจัดวาง ส่วนสินค้าหนักเน้นความแข็งแรงและความปลอดภัย
พื้นที่ใช้งาน – หากเป็นบ้านหรือร้านค้าเล็ก ๆ ควรเลือกแร็คสำเร็จรูปที่ปรับเปลี่ยนได้ง่าย แต่ถ้าเป็นโกดังขนาดใหญ่ ต้องเลือกแร็คอุตสาหกรรมที่รองรับพื้นที่มากและใช้งานร่วมกับเครื่องจักรได้
งบประมาณ – ของถูกเกินไปมักแลกมากับอายุการใช้งานสั้น ควรเลือกแร็คที่คุ้มค่าในระยะยาวแม้ราคาสูงกว่านิดหน่อย
เคล็ดลับการเลือกแร็คให้ถูกงาน
การเลือกแร็คให้เหมาะกับงานไม่ใช่แค่เรื่องน้ำหนัก แต่ยังรวมถึงการใช้งานจริงในแต่ละวัน เช่น
ถ้าเปลี่ยนตำแหน่งบ่อย → เลือกแร็คแบบ Knock Down ที่ประกอบง่าย
ถ้าเน้นความสวยงาม → เลือกแร็คที่มีดีไซน์ เช่น เหล็กผสมไม้ หรือโครงเหล็กสีพิเศษ
ถ้าใช้เก็บสต็อกเยอะ ๆ → เลือก Heavy Duty Rack ที่มีคานเสริมและยึดกับพื้นหรือผนังได้
การเลือกแร็ควางของ ให้ถูกงานเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเก็บสินค้าเบาหรือหนัก เพราะแร็คที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ใช้งานได้คุ้มค่า และทำให้การจัดเก็บมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากของเบาอาจเลือกแร็คที่เน้นดีไซน์และความประหยัดพื้นที่ แต่หากเป็นของหนักควรเลือกแร็คอุตสาหกรรมที่มั่นคงและรับน้ำหนักได้จริง
และถ้าคุณกำลังมองหาแร็คที่ตอบโจทย์ทั้งความแข็งแรงและดีไซน์ ลองเลือกที่ Shelfystore เพราะเราคือโรงงานผลิตชั้นวางของที่มีแร็คให้เลือกครบทุกประเภท ตั้งแต่แร็คสำหรับบ้านและร้านค้า ไปจนถึงแร็คอุตสาหกรรมสำหรับโกดัง พร้อมรีวิวจริงจากลูกค้าที่การันตีคุณภาพ นอกจากนี้ยังมีบริการประกอบและติดตั้งโดยทีมงานมืออาชีพ ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนตั้งแต่การเลือกซื้อไปจนถึงใช้งานจริง จะสะดวกและปลอดภัยที่สุด
ช่องทางการติดต่อ
โทรศัพท์ : 093-019-9080
Line ID : @shelfy
Instagram : shelfyst
E-mail : shelfystorage@gmail.com












ความคิดเห็น