top of page
  • Facebook
ค้นหา

ถ้าธุรกิจไม่มี Facebook

  • psrwbiz
  • 16 พ.ค. 2567
  • ยาว 2 นาที

อัปเดตเมื่อ 24 พ.ค. 2567


ree

ถ้าเราทำกิจการ, บริษัท, ธุรกิจ, หรือร้านค้า โดยไม่มี Facebook ได้ไหม? คำตอบในปี พ.ศ. 2563 นี้เห็นที่จะไม่ได้ แม้จะจำเป็นที่สุดต่อธุรกิจหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่ก็คิดในทำนองว่า “มี ดีกว่า ไม่มี” แต่ถ้าเราไม่มี Facebook ขึ้นมาจริง ๆ ล่ะ?…

จากประเด็นข่าวในช่วงเดือน สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา การพยายามปิดกัน “กลุ่ม” ใน Social media คือ Facebook ของประเทศไทย ซึ่งประเด็นปัญหาจากเรื่องการเมือง โดยในทีนี้จะพูดในแง่ บทความธุรกิจ จึงไม่ได้เขียนเกี่ยวข้องกับเนื้อหา หรือมีความเห็นต่อข่าวนั้นแต่อย่างใด เพียงแต่จากประเด็นดังกล่าวทำให้คิดได้ว่าหากประเทศไทยเราแบน (ban) Facebook  ม่ให้ใช้ขึ้นมาเหมือนประเทศจีนจะเป็นอย่างไร?..

เบื้องต้นภาคประชาชนทั่วไป (ที่ไม่เกี่ยวด้านการค้าขาย) คงมีความเดือดร้อนแตกต่างกันไป เริ่มจาก เสียดายรูปภาพ, เสียดายเรื่องราวที่เคยโพสต์ เคยเขียน, กลัวหาเพื่อนไม่เจอ ต่อมาก็จะมีปัญหาเรื่องการผูกบัญชี คือใช้ Facebook สำหรับล๊อกอิน อาจจะจำไม่ได้ว่าผูกเว็บไซต์ หรือบริการไหนไว้บ้าง (ส่วนตัวผมไม่ค่อยจะผูกอะไรที่สำคัญ ๆ เพราะความสะดวกก็จะแลกมาด้วยความปลอดภัย)

ซึ่งเชื่อว่าแม้จะกระทบในวงกว้าง แต่ก็น่าจะเป็นเพียงระยะสั้น เพราะที่สุดแล้วแง่ผู้ใช้ทั่วไป ก็สามารถใช้ตัวอื่น แอพอื่น ทดแทนไปในที่สุด (ต่อไปจะขอเขียนคำว่าเฟซบุ๊ก Facebook สั้น ๆ เป็น FB)

ถ้าธุรกิจไม่มี Facebook แล้ว?

แต่ถ้าเป็นภาคธุรกิจล่ะ ไม่ว่าจะค้าขายทั่วไป ไปจนบริษัทใหญ่ ผลกระทบอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ลองมาช่วยกันคิดวิเคราะห์ดู แน่นอนว่าประเด็นหลัก ๆ คงเป็นเรื่องแง่มุมทาง “การตลาด” สำหรับผมจะแบ่งเป็นข้อ ๆ โดยผลกระทบย่อมมีความแตกต่าง ขึ้นอยู่กับประเภท และขนาดของธุรกิจ ทีแรกผมก็จะเขียนแยกกันระหว่างประเภท กับขนาด เพียงแต่บางมุมก็ไม่ต่างกันจึงนำมาเป็นข้อย่อยเดียวกัน ดังนี้

  • แบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) และ ธุรกิจกับรัฐ (B2G) ประเภทธุรกิจเหล่านี้ FB แทบไม่มีความสำคัญใด ๆ เลย เพราะเป็นเรื่องของกระบวนการจัดซื้อจัดหา หรือ ต้องมีการประชุมนำเสนอ ทำข้อตกลง ไปจนถึงการประมูล ที่ไม่ใช่ส่งถึงคนจำนวนมากหรือบุคคลทั่วไป ดังนี้ FB จะมีหรือไม่ก็ไม่สำคัญ

  • แบบธุรกิจต่อลูกค้า (B2C) กลุ่มนี้ย่อมมีผลกระทบโดยตรง เพียงแต่จะมากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับการใช้งานของธุรกิจนั้นว่าใช้ด้านใด จัดจำหน่าย หรือ ประชาสัมพันธ์ และจะกระทบมากขึ้นหากใช้เป็นช่องทางหลัก ซึ่งธุรกิจโดยรวมก็จะเป็นประเภท  B2C คือบริษัทขายสินค้าสู่ผู้บริโภคทั่วไป  แต่มีความแตกต่างกันในด้านของขนาดธุรกิจและช่องทางการจัดจำหน่ายเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจแยกแยะได้ตามข้อต่อ ๆ ไป

  • ธุรกิจขนาดใหญ่ โดยส่วนใหญ่แล้ว ธุรกิจหรือแบรนด์ขนาดใหญ่ใช้ FB เป็นเพียงหนึ่งในช่องทางสื่อสาร เพราะไม่ได้จัดจำหน่ายเองโดยตรง แม้จะมีประโยชน์ในการสื่อสารหลายด้าน แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดมีผลกระทบ หรือขาดไม่ได้ เพราะการอาศัยเป็นเพียง “ช่องทาง” ที่ตามรอยผู้บริโภคไป ไม่ใช่การชี้นำ กล่าวคือ เพราะคนเล่น FB เยอะจึงตามไปประชาสัมพันธ์ โฆษณาใน FB หากไม่มี FB ผู้บริโภคหันไปใช้อะไร ธุรกิจหรือแบรนด์ก็ตามไปประชาสัมพันธ์ตรงนั้นแทน และปกติก็มักมีการกระจายช่องทางประชาสัมพันธ์ไม่ใช่แต่ FB อยู่แล้ว มีการวางแผนงบประมาณ กล่าวคือไม่น่าจะกระทบอะไรนัก นอกจากปรับแผน ปรับกระบวนการกันไป

  • ธุรกิจขนาดเล็ก – กลาง หรือจะบอกว่า SME ก็ได้ บริษัทขนาดกลาง ขนาดเล็ก ส่วนหนึ่งก็ไม่ต่างจากบริษัท หรือแบรนด์ขนาดใหญ่ คือ ส่วนใหญ่ใช้เป็นเพียงช่องทางประชาสัมพันธ์ บางแห่งก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจริงจังด้วยซ้ำ (ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ) โดยอย่างยิ่งทุกวันนี้หากธุรกิจเน้นช่องทางจำหน่ายออนไลน์ ก็น้อยนักที่จะซื้อขายผ่าน FB โดยตรง แอพอย่าง Shopee หรือ Lazada สะดวกกว่ามาก หรือการขายผ่านเว็บไซต์เลยก็ไม่ยากและมีประโยชน์กว่าในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งช่องทางเหล่านี้ก็มีแนวทางการตลาดที่แตกต่างกันไป ที่เห็นน่าจะกระทบกว่าคือเรื่องการสมัครงาน ที่บริษัทขนาดนี้มักใช้ประโยชน์กันมากกว่า

  • ธุรกิจรายย่อย ในกลุ่มนี้มีความเป็นไปได้มากที่จะส่งผลกระทบในเบื้องต้น เพราะหากลงทุนสร้างฐานไว้กับ FB มาก เช่น มียอด follow หรือยอด Like มาก ก็จะเสียฐานลูกค้าไปโดยทันที รวมทั้งอาจจะลำบากในการหาช่องทางประชาสัมพันธ์ที่ฟรี หรือต้นทุนต่ำเช่นนี้ ซึ่งหลายคนสร้างทุกอย่างจากบนนี้ทั้งสิ้น ตั้งแต่สร้างแบรนด์ ช่องทางประชาสัมพันธ์ โปรโมชั่น ไปจนถึงจัดจำหน่ายเป็นหลักเลยก็มี เหล่านี้ก็จะกระทบหนัก การจะปรับแผนจาก FB ไปสื่ออื่น ๆ ไม่การันตีว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร คนอาจจะไม่รู้จัก หลงลืมไปเลยก็ได้ แต่ทั้งสิ้นก็ขึ้นอยู่กับประเภทกิจการด้วย

  • กิจการส่วนบุคคล P2C ที่จริงจะหาคำนิยามให้คำนี้ ๆ อย่างเป็นทางการชัดเจนยังไม่ได้ แต่เป็นประเภทที่มีเยอะมากในทุกวันนี้ ที่ส่วนหนึ่งเรียกได้ว่าเป็นการ “ขายตรง Direct sell” แต่คำนี้ถูกนำไปเป็นเชิงลบเสียแล้ว เพราะการขายตรงจริง ๆ ก็คือระหว่างบุคคลสู่ลูกค้าโดยตรง มีทั้งทำเป็นอาชีพเสริมและหลายคนประกอบเป็นอาชีพหลัก เราจะเห็นมากมายในการที่นำสินค้ามาขายให้กลุ่มลูกค้าของตนเอง โดยส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสินค้าบริษัทตัวเอง แบรนด์ตัวเอง ที่ทำเองผลิตเองก็มีแต่ไม่มาก ซึ่งกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบตรงและชัด เพราะปัจจุบันคือช่องทางหลักของพ่อค้า แม่ค้ากลุ่มนี้ ส่วนหนึ่งที่ “อาศัย” เป็นช่องทางปกติ ก็ได้รับผลกระทบมากแล้ว แต่หลายรายต้องลงทุนด้านการเรียนรู้ สร้างเทคนิค มีทีมงาน เช่นการ live ขายสินค้าแบบมืออาชีพ การซื้อโฆษณา การสร้างเนื้อหา คอนเทนท์ ต่าง ๆ ที่ไม่อาจเรียนรู้หรือทำได้ชั่วข้ามคืน หรือทำได้โดยลำพัง และหากต้องปรับตัวมันคือการนับ 1 ใหม่ที่ใคร ๆ คงไม่อยากเจอ..

การเปลี่ยนแปลงของอาชีพ

นอกจากคนทำธุรกิจแล้ว ยังมีบางสาขาอาชีพ ที่เกิดและเติบโตมาแบบพึ่งพา FB 100% เช่น โค้ชสอนยิงแอดโฆษณา, คนทำเพจรีวิว ต่าง ๆ Influencer หรือเพจดัง ๆ ที่ได้รับสปอนเซอร์เป็นหลัก หรืออาชีพจำเพาะอื่น ๆ ที่ผมสรุปออกมาได้ไม่หมดและมีที่เรายังไม่รู้อีกพอสมควร กลุ่มเหล่านี้ถ้าเป็นธุรกิจก็อาจเรียกได้ว่าเสี่ยงที่จะเจ๊งกว่าใคร เพราะคงหมดโอกาสสร้างรายได้ไปในทันที

โดยรวมแล้วกลุ่มนี้ก็ไม่ต่างจากคนค้าขายบางกลุ่มดังที่กล่าวไป เพราะพึ่งพาอาศัย FB มาก ทางรอดคือต้องนับ 1 ใหม่ แต่ก็ไม่ง่าย และไม่อาจมั่นใจในทิศทางและผลลัพธ์ที่จะออกมา

แง่ผู้บริโภค

มีไม่น้อยที่เรามักจะเป็นแฟนสินค้า หรือเชิงธุรกิจอาจเรียกว่าเป็นกลุ่มลูกค้าภักดี (loyalty) ที่ต้องเจอความยุ่งยากในการติดตามสินค้าที่เราชื่นชอบ แต่แนวทางการปรับตัวก็ไม่ต่างจากการใช้งานประจำวัน คือเชือว่าน่าจะมีแอพอื่นมาแทนที่ให้เราได้ติดตามเหมือนเดิม

ส่วนใหญ่แล้วพฤติกรรมที่มีต่อสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคมักใช้บน FB คือ ดูความสดใหม่ ความเคลื่อนไหวปัจจุบัน อาจเรียกได้ว่าเป็นการตรวจสอบ หรือต้องการใช้เพียงเป็นข้อมูลประกอบ มากกว่าตัดสินใจในทันที การไม่มี FB กับยุคสมัยนี้ พฤติกรรมอาจไม่เปลี่ยนแค่เปลี่ยนแพลตฟอร์ม หรือแอพไปก็เท่านั้น

ความคุ้นชิน หรืออะไรที่เราเคยชินแล้วมันย่อมทำให้รำคาญใจเมื่อต้องถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลง ใหม่ ๆ ผู้ใช้ผู้บริโภคหลายคนก็อาจไม่อยากปรับตัว แต่หากเกิดขึ้นจริงความเคยชินในการมี Social Network ก็เป็นตัวแปรเช่นกันให้คนหันไปใช้ตัวใหม่แทนที่ได้ไม่ยาก เพราะหลายคนเริ่มขาดมันไม่ได้..

ยากจะเกิดขึ้นจริง

บทความนี้เริ่มเขียนจากการที่เริ่มมีประเด็นทางการเมือง ซึ่ง ณ วันนี้น่าจะเบาบางและไม่ได้เป็นประเด็นอะไรแล้ว และคงยังไม่เกิดขึ้นจริง และยากที่จะเกิดการแบน Facebook แต่สิ่งหนึ่งที่ธุรกิจในประเทศกำลังประสบ หรือหลายรายยังไม่เข้าใจมากพอคือ การที่เศรษฐกิจของประเทศเรากำลังพึ่งพาต่างประเทศอย่างมาก เราเคยเป็นภาคการเกษตรรายใหญ่ เราเคยเป็นฐานการผลิต เราเคยเป็นแหล่งลงทุน ถ้าคิดดี ๆ สิ่งที่เราเคยเป็นนี้คือ “ต่างประเทศต้องการเรา”

แต่การกลายเป็น “ประเทศท่องเที่ยว” เป็นหลักขึ้นทุกวันนั้นมันหมายความว่า “เราต้องการต่างประเทศ” มากเกินไป มิหนำซ้ำภาคการลงทุนที่ไม่น่ามั่นใจจากความมั่นไม่คงทางการเมืองมาหลายปี ที่ผมไม่อาจสรุปว่าใครผิดถูกอย่างไร แต่สุดท้ายหลายคนอาจไม่ได้มอง เพราะผลลัพธ์มันเกิดช้า ทุนใหญ่ ๆ ไม่มีใครถอนการลงทุนได้โดยทันทีทันใด แต่ถ้าย้อนมองไปมันหายไปเยอะแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และหากมองลงลึกไปจะพบว่าการมีปัญหากับ Facebook นั้นมันเป็นเรื่องไร้สาระในเชิงธุรกิจโดยรวมของประเทศไปเลย…


ขอขอบคุณบทความดีๆจาก ThaiBussiness Search

 
 
 

ความคิดเห็น


Shelfy Logo

สาขารัชดา - เหม่งจ๋าย

(Shelfy's แบรนด์ช้อป)

สาขารัชดา - ถ.เทียมร่วมมิตร
(สาขาหลัก)

ShelfyStore โรงงานผลิตชั้นวางของครบวงจร

ชั้นวางสินค้าราคาโรงงาน ขายส่ง ชั้นวางของ ชั้นวางของอเนกประสงค์ ชั้นเก็บของ แร็ควางของ ชั้นวางของสําเร็จรูปshelf สินค้า ชั้นวางของในโกดัง ชั้นวางของหน้าร้าน รวมถึง ชั้นวางของในบ้าน ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน มาพร้อมบริการรับทำและออกแบบชั้นวางของตามสั่ง พร้อมบริการติดตั้งฟรี ในเขต กทม. และปริมณฑล

เลขที่ 829, ห้อง 105, อาคาร ชนา ซิตี้ เรสซิเด้นซ์, ถนนประชาอุทิศ ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310

โทร :

90/1 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310

โทร :

สาขาบางบอน

40 เอกชัย 25 หมู่ 10 แขวงบางขุนเทียน เขตบางบอน กรุงเทพฯ 10150

โทร :

สาขารังสิต

223 ถนนพหลโยธิน (ปากซอยพหลโยธิน 111 ใกล้แม็คโครังสิต) ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 12130

โทร :

สาขาศรีนครินทร์

417/1-2 ถนนศรีนครินทร์  ตำบลสำโรงเหนือ, อำเภอเมืองสมุทรปราการ, สมุทรปราการ 10270

โทร :

bottom of page